6 เครื่องมือ AI ที่สายวิจัยควรรู้ AI Tools for Research

6 เครื่องมือ AI ที่สายวิจัยควรรู้ AI Tools for Research

ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Artificial Intelligence (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการทำงานเพื่อประหยัดเวลา และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ เป็นต้น โดยงานแต่ละประเภทสิ่งสำคัญคือต้องเลือก AI Tools ให้เหมาะสมเพื่อตรงตามวัตถุประสงค์ของความต้องการ กองเทคโนโลยีสารสนเทศจึงอยากแนะนำ Software AI ที่สามารถช่วยทำงานวิจัยแต่ละประเภทเช่น review article และ data analysis เป็นต้น พร้อมแนวทางการใช้ประโยชน์ จะมีอะไรบ้างไปดูกัน

1.Consensus

แพลตฟอร์มค้นหางานวิจัยด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลจากบทความวิชาการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพียงพิมพ์คำถามในภาษาธรรมดา ระบบจะสรุปคำตอบจากแหล่งข้อมูลวิจัยที่เชื่อถือได้ เหมาะสำหรับนักวิจัย อาจารย์ นิสิตนักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการข้อมูลที่มีหลักฐานรองรับช่วยประหยัดเวลาในการค้นคว้าและสนับสนุนการตัดสินใจด้วยข้อมูลจากงานวิจัยจริง

เว็บไซต์ (https://consensus.app/)

2.SciSpace

แพลตฟอร์มผู้ช่วยวิจัยที่ใช้ AI เพื่อช่วยนักวิจัยค้นหา วิเคราะห์ และสรุปบทความวิชาการจากแหล่งข้อมูลกว่า 200 ล้านรายการทั่วโลก ด้วยฟีเจอร์ “Chat with PDF” และ “Copilot” ผู้ใช้สามารถสนทนาและตั้งคำถามกับเอกสารวิจัยได้โดยตรง ช่วยให้การทบทวนวรรณกรรมและการเขียนงานวิจัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น SciSpace จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับนักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจงานวิชาการที่ต้องการเพิ่มความรวดเร็วและความแม่นยำในการทำงานวิจัย

เว็บไซต์ (https://scispace.com/)

3.QuillBot

เครื่องมือที่ช่วยในการเขียนและปรับปรุงข้อความภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานวิจัย ช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาการเขียนให้ชัดเจน กระชับ และถูกต้องตามหลักภาษา อีกทั้งยังช่วยในการสรุปเนื้อหา ตรวจสอบไวยากรณ์ และปรับโครงสร้างประโยคให้เหมาะสม ช่วยประหยัดเวลาในการเขียนและแก้ไขเอกสาร ทำให้งานวิจัยมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบได้ว่าข้อความนั้นถูกสร้างมาจาก AI หรือไม่ เป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่ตอบโจทย์ยุคใหม่ของการทำวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์ https://quillbot.com/

4.Napkin AI

เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง Infographic ที่ช่วยสรุปข้อมูลและแนวคิดให้อยู่ในรูปแบบภาพอย่างเข้าใจง่าย เหมาะอย่างยิ่งกับงานวิจัย ช่วยถ่ายทอดผลการศึกษา แนวคิด หรือกระบวนการวิจัยให้ผู้อื่นเข้าใจได้รวดเร็ว เพิ่มความน่าสนใจในการนำเสนอ ทั้งยังประหยัดเวลาในการออกแบบ ช่วยให้นักวิจัยสามารถสื่อสารผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย

เว็บไซต์ https://www.napkin.ai/

5.Dimension Research GPT

เป็นเครื่องมือบนแพลตฟอร์ม ChatGPT ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยค้นหา วิเคราะห์ และสรุปงานวิจัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ มีบทบาทสำคัญในการลดเวลาในการสืบค้นข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์เอกสารวิชาการ และช่วยให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล พร้อมรองรับการประยุกต์ใช้ทั้งในด้านวิชาการ การศึกษา และอุตสาหกรรมต่างๆ

เว็บไซต์ https://www.dimensions.ai/

6.Clarivate (Web of Science)

เป็นฐานข้อมูลการอ้างอิงทางวิชาการระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือสูง ผนวกกับการใช้ AI เพื่อช่วยให้การค้นหา อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพงานวิจัย โดยช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงบทความวิชาการคุณภาพ และสามารถให้ AI ช่วยวิเคราะห์ถึงงานวิจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักวิจัยในสาขาต่างๆๆ

เว็บไซต์ https://www.webofscience.com/

ถึงแม้ AI จะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการทำงานแต่ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่บ้าง ในบทความนี้จึงได้รวบรวมข้อควรระวังการใช้ AI ในงานวิจัย

1. Hallucination
AI โดยเฉพาะแบบ Generative AI เช่น ChatGPT หรือ Claude อาจ “แต่ง” ข้อมูลขึ้นมาใหม่โดยไม่ได้อ้างอิงจากข้อมูลซึ่งอาจจะคลายเคลื่อนกับความเป็นจริง ซึ่งเรียกว่าการ "Hallucinate"

แนวทางการป้องกัน

  • ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลต้นทางที่น่าเชื่อถือ เช่น Google Scholar, Scopus, Web of Science
  • หลีกเลี่ยงการคัดลอกเนื้อหาจาก AI มาใช้โดยตรงในบทความวิชาการ
  • ใช้ AI เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ในการสังเคราะห์หรือสรุปข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ควรให้มนุษย์ตรวจสอบทุกครั้งก่อนนำไปใช้จริง

2. Bias
AI เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลบนอินเทอร์เน็ตซึ่งอาจมีอคติหรือแนวคิดที่ไม่เป็นกลาง เช่น ความลำเอียงทางเพศ เชื้อชาติ วัฒนธรรม หรือความเชื่อ เมื่อ AI นำเสนอข้อมูลตามลักษณะเหล่านี้ อาจส่งผลให้การตีความหรือข้อเสนอในงานวิจัยมีความเอนเอียงโดยไม่รู้ตัว

แนวทางการป้องกัน

  • วิเคราะห์ผลลัพธ์จาก AI ด้วยวิจารณญาณ ไม่ยึดตามคำตอบอย่างเดียว
  • เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่งหรือใช้หลายโมเดล AI เพื่อหลีกเลี่ยงความลำเอียง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวโดยตรง เช่น เพศ ศาสนา หรือชาติพันธุ์

3. ละเมิดลิขสิทธิ์
AI บางระบบอาจเรียนรู้จากข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ และเมื่อสร้างข้อความหรือเนื้อหาใหม่ อาจมีการดัดแปลงบางส่วนจากต้นฉบับโดยไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม หากนักวิจัยนำข้อความนั้นมาใช้โดยไม่ตรวจสอบ อาจเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งส่งผลทางกฎหมายและจริยธรรมทางวิชาการ

แนวทางการป้องกัน

  • ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของข้อความโดยใช้โปรแกรมตรวจ Plagiarism เช่น Turnitin, Grammarly หรือ Copyscape
  • หลีกเลี่ยงการนำเนื้อหาจาก AI มาใช้โดยตรงในบทคัดย่อหรือบทความตีพิมพ์
  • อ้างอิงอย่างเหมาะสมหาก AI ช่วยสรุปหรือจัดโครงสร้างจากแหล่งข้อมูลที่มีเจ้าของลิขสิทธิ์

4. Citation ผิด
อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยคือ AI มักสร้างรายการอ้างอิงที่ “ดูเหมือนจริง” แต่ไม่มีอยู่จริงในฐานข้อมูลวิชาการ หรือให้ข้อมูลผิด เช่น ชื่อผู้แต่งไม่ตรง ปีพิมพ์ไม่ถูก หรือชื่อวารสารไม่สอดคล้องกัน การใช้ citation ที่ผิดพลาดในงานวิชาการส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือโดยตรง

แนวทางการป้องกัน

  • ตรวจสอบความถูกต้องของ Citation ด้วยแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการ เช่น Google Scholar, PubMed, IEEE Xplore
  • ใช้โปรแกรมจัดการบรรณานุกรม เช่น Zotero, Mendeley หรือ EndNote ซึ่งสามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลจริง
  • หลีกเลี่ยงการให้ AI สร้างรายการอ้างอิงโดยไม่ได้ตรวจสอบภายหลัง